พระโปร่งทรงเครื่องกษัตริย์ ศิลปพม่ายุคมัณฑเลย์ ทำจากกระดาษสาแปะขึ้นรูป ขนาดหน้าตักสี่นิ้ว สูงสิบเอ็ดนิ้ว ฐานกว้างหกนิ้วลงรักชาดทองติดกระจกอย่างสวยงาม
อายุร้อยกว่าปี
ศิลปะของเมืองอมรปุระและเมืองมัณฑเลย์ นั้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24 จนถึงปัจจุบัน ราชธานีซึ่งสืบต่อมาหรืออยู่ร่วมสมัยระหว่างหลังเมืองพุกามจนถึงสมัยเมืองอังวะ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอิรวดี พระเจ้าโบดอปยะ (Bodawpaya) ได้ย้ายราชธานีจากเมืองอังวะไปที่เมืองอมรปุระในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 ปัจจุบันได้รวมเป็นเมืองเดียวกันกับมัณฑะเลย์ (สร้างโดยพระเจ้ามินดงเมื่อพ.ศ. 2400) ซึ่งหลังจากหมดสมัยอาณาจักรพุกามแล้ว ศิลปกรรมพม่าดูอ่อนด้อยลงไปกว่าสมัยพุกามมาก สมัยนี้เองที่เริ่มมีการฟื้นฟูศิลปกรรมแบบพม่าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยพระเจ้ามินดง (พ.ศ.2396-2421) ขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 2396 ได้ทำไมตรีกับอังกฤษ พม่าจึงถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ทางภาคใต้ อังกฤษเป็นผู้ปกครอง เมืองหลวงตั้งอยู่ที่ย่างกุ้ง และทางภาคเหนือนั้นพม่าเป็นผู้ปกครองเอง เมืองหลวงอยู่ที่อมรปุระ ต่อมาพ.ศ. 2400 ได้ย้ายเมืองหลวงมาสร้างใหม่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ให้ชื่อว่า กรุงรัตนปุระ ตามชื่อเดิมของเมืองอังวะ และได้ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งใหญ่เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ต่อมาปีพ.ศ. 2428 ยุคของพระเจ้าสีป่อ อังกฤษได้ส่งกองทัพเข้ายึดพม่าภาคเหนือที่เมืองมัณฑะเลย์ จับตัวพระเจ้าสีป่อไว้ที่ภาคตะวันตกของอินเดียจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ และในปีพ.ศ. 2468 เป็นอันสิ้นสุดสถาบันกษัตริย์ของพม่า ทางด้านศิลปะสมัยหลังได้หันไปเลียนแบบศิลปะแบบประเพณีของพุกาม การสลักไม้ของพม่าในสมัยมัณฑเลย์นี้ยังคงความงดงาม ซึ่งศาสนาสถานในสมัยนี้นิยมก่อสร้างด้วยเครื่องไม้ มีลวดลายเครื่องประดับอย่างอลังการและประณีตวิจิตรเป็นอย่างยิ่ง สถาปัตยกรรมอาคารเรือนไม้นิยมสร้างแบบเรือนปราสาทชั้นซ้อนแบบพม่า ทางพม่าออกเสียงว่า ปะยาทาต (Pyathat) พระพุทธรูปในสมัยหลังพุกามเชื่อว่ามีการก่อสร้างมากมาย การสร้างพระพุทธรูปจากหินสลัก ไม้ และโลหะ สำหรับประติมากรรมได้แกะสลัก (ทั้งที่เป็นประติมกรรมลอยตัวและสภาพสลักนูน) มักจะปิดทองหรือทาสีหลากสี ซึ่งเป็นการแสดงอย่างดียิ่งถึงประเพณีของศิลปะพม่าสมัยใหม่นี้ สำหรับภาพจิตรกรรมฝาผนัง พบว่าเริ่มนำสีวิทยาศาสตร์ (สีสังเคราะห์) มาใช้ เน้นเทคนิคการใช้สีที่สดใส เช่น สีฟ้า สีเขียว เชื่อว่าได้รับแนวคิดและวัตถุดิบจากจีน